วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่ 10

สิ่งที่ได้จากการเรียนรู้

          การเขียนโครงการ

     โครงการ หมายถึง การทำกิจกรรมที่เป็นขั้นตอนโดยต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ กำหนดระยะเวลาและงบประมานที่จำกัดในการดำเนินงานต้องมีผู้รับผิดชอบต่อโครงการ ซึ่งเป็นผู้บริหารงาน กิจกรรมต่างๆที่เป็นไปตามแผนงานเหมาะสมกับเวลาและงบประมานที่ตั้งไว้

     ลักษณะของโครงการ
- ต้องมีระบบ
- ต้องมีวัตถุประสงค์ชัดเจน
- ต้องเป็นการดำเนินงานในอนาคต
- เป็นการทำงานชั่วคราว
- มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน
- มีลักษณะเป็นงานเร่งด่วน
- ต้องมีต้นทุนการผลิตต่ำ
- เป็นการริเริ่มหรือพัฒนาการ

     องค์ประกอบของโครงงาน

1. ชื่อโครงการ (อ่านแล้วจะต้องรู้ว่าทำอะไร)
2. หน่วยงานที่รับผิดชอบ (ระบุต้นสังกัด ที่จัดทำโครงการ)
3. ผู้รับผิดชอบโครงการ (ระบุผู้รับผิดชอบโครงการนั้นๆ ใช้ชัดเจนว่ามีตำแหน่งใดในโครงการนั้น)
4. หลักการและเหตุผล (แสดงถึงปัญหาความจำเป็นหรือความต้องการที่จะจัดทำโครงการนี้)
5. วัตถุประสงค์ (เขียนเชิงพฤติกรรม เป็นข้อความที่แสดงถึงความต้องการ)
6. เป้าหมาย (สิ่งที่กำหนดว่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลาที่กำหนด จะบรรลุวัตถุประสงค์ได้)
7. ระยะเวลา (ระบุ วันเดือนปี ระยะเวลา สถานที่)
8. วิธีการดำเนินโครงการ (จะตอบว่างานเป็นระบบหรือไม่)
9. งบประมาณและทรัพยากรที่ต้องใช้
10.ผลที่คาดว่าจะได้รับ
11.การติดตามและประเมินผลโครงการ

          การเขียนรายงานวิชาการ

     ข้อเขียนที่เกิดจากผลของการศึกษา ค้นคว้าหาความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเป็นระบบ แล้วนำมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษรมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ค้นคว้าและมีการวิเคราะห์ข้อมูลพร้อมทั้งเสนอแนะความคิดเห็นที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์
     ความสำคัญ
- รู้จักการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ
- นำเสนอความรู้ความคิดได้
     ขั้นตอนการทำ
1.พิจารณาวัตถุประสงค์
2.กำหนดหัวเรื่อง
3.ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดขอบเขต
4.รวบรวมและบันทึกข้อมูล
5.วิเคราะห์ข้อมูล
6.เชื่อมโยงข้อมูลให้สัมพันธ์
7.เรียบเรียงข้อมูลอย่างเป็นระบบ
8.ตรวจสอบความถูกต้อง
9.จัดรูปเล่มให้เหมาะสม
     องค์ประกอบของรายงานวิชาการ
-  ชื่อเรื่อง-  ชื่อผู้ทำรายงาน-  คำนำ-  สารบัญ-  บทนำ-  เนื้อหา-  บทสรุป-  บรรณานุกรม

ความรู้ใหม่

-ได้รู้วิธีการทำส่วนประกอบของรายงานที่ถูกต้อง เช่นได้รู้การทำหน้าปก การเขียนคำนำ สารบัญ เป็นต้น

ข้อเสนอแนะ

ขอบคุณอาจารย์มาก เพราะจะได้นำความรู้ในครั้งนี้ไปให้ประโยขน์ได้มากเลยค่ะ


     

วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่ 9

สิ่งที่ได้จากการเรียนรู้


ระเบียบงานสารบรรณและการเขียนหนังสือราชการ
            - การจัดทำ
            - การรับ
            - การส่ง
            - การเก็บรักษา
            - การยืม
            - การทำลาย

การจัดทำสำเนา
     -สำเนาคู่ฉบับ คือ จัดทำพร้อมต้นฉบับเก็บไว้เป็นเจ้าของเรื่อง ผู้ร่าง ผู้พิมพ์ ผู้ตรวจ ลงชื่อไว้ที่ด้านขวาของหนังสือ
     -สำเนา คือ มีคำรับรองว่า "สำเนาถูกต้อง" เจ้าหน้าที่ระดับ ขึ้นไป รับรองว่าสำเนาเก็บไว้ที่สารบรรณกลาง 

ชนิดของหนังสือราชการ
1. หนังสือภายนอก          
2. หนังสือภายใน           
3. หนังสือประทับตรา    
4. หนังสือสั่งการ             
5. หนังสือประชาสัมพันธ์             
6. หนังสือที่เจ้าที่ทำขึ้นหรือรับไว้เพื่อเป็นหลักฐานทางราชการ           

ปัญหาในการเขียนหนังสือราชการ
            - ความคิด
            - ยืดยาว เยิ่นเย้อ
            - รู้เรื่องคนเดียว
            - ขาดการประเมิน

หลักการเขียนเนื้อหา
            - ปัญหา
            - ข้อเท็จจริง
            - ข้อพิจารณา
            - ข้อเสนอ

การเขียนรายงานการประชุม
ปัญหาของการเขียนรายงานการประชุม
          - ไม่รู้วิธีดำเนินการประชุม
          - ไม่รู้ว่าจะจดอย่างไร
          - ขาดทักษะในการจับประเด็นและสรุป
          - การใช้ภาษาในการจด

ประโยชน์ของรายงานการประชุม
           - เป็นหลักฐานปฏิบัติงาน
           - เป็นเครื่องมือในการติดตามงาน
           - เป็นแหล่งข้อมูล

                             
ความรู้ใหม่ที่ได้รับ

ชั้นความเร็ว
     -ด่วน คือ เอกสารต้องส่งออกจากผู้ที่ได้รับเอกสารภายในเวลาราชการของวันพรุ่งนี้
     -ด่วนมาก คือ ต้องส่งเอกสารให้ออกจากผู้รับเอกสารภายในเวลา 24 ชั่วโมง
     -ด่วนที่สุด คือ เอกสารต้องถูกส่งออกจากผู้รับเอกสารภายในวันที่ได้รับเอกสาร

ชั้นความลับ
      -ลับ คือ ความลับที่เกี่ยวกับข่าวสารที่รั่วไหลแล้วจะทำให้ให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการหรือต่อเกียรติภูมิของประเทศ
      -ลับมาก คือ ความลับเกี่ยวกับข่าวสารที่รั่วไหลแล้วจะทำให้เกิดความเสียหายหรือเป็นภัยต่อความมั่งคง ความปลอดภัยของประเทศชาติอย่างร้ายแรง
      -ลับที่สุด คือ ความลับเกี่ยวกับข่าวสารที่รั่วไหลแล้วจะทำให้เกิดความเสียหาย หรือเป็นภัยต่อความมั่งคง ความปลอดภัยของประเทศชาติอย่างร้ายแรงที่สุด

ความแตกต่างของอนุญาตกับอนุมัติ
      -อนุญาต คือ ยินยอม ยอมให้
      -อนุมัติ คือ ให้อำนาจกระทำตามระเบียบที่กำหนด

ข้อเสนอแนะ

อาจารย์อธิบายความหมายและมีการยกตัวอย่างเข้าใจและชัดเจนมากค่ะ

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่ 8

สิ่งที่ได้เรียนรู้

     1.การเขียนเชิงกิจธุระ

     การเขียนแบบฟอร์ม คือ เอกสารที่จัดทำขึ้นโดยเว้นช่องว่างไว้สำหรับให้บุคคลแต่ละคนกรอกข้อความเพื่อให้สะดวกแก่ผู้รวบรวมนำข้อความนั้นมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆต่อไป แบ่งออกเป็น 4 แบบ

1.แบบฟอร์มที่ใช้ติดต่อกับหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน เป็นแบบฟอร์มที่หน่วยงานกำหนดเพื่อใช้สะดวก ไม่เสียเวลาในการเขียนและทำให้หน่วยงานได้ข้อมูลครบถ้วนที่จำเป็นตามต้องการ และยังเก็บไว้ได้เป็นระเบียบเรียบร้อย เช่น แบบฟอร์มสมัครงาน
2.แบบฟอร์มที่ผู้อื่นขอให้กรอก แบบนี้ใช้เพื่อต้องการทราบข้อมูลที่เป็นทั้งข้อเท็จจริงและทรรศนะของประชาชนกลุ่มต่างๆ ตัวอย่าง แบบสอบถามส่งไปทางไปรษณีย์หรือให้บุคคลนำไปถึงกลุ่มประชากรที่ต้องการจะสอบถาม
3.แบบฟอร์มที่ใช้ภายในองค์กร องค์กรสมัยนี้มีระบบการรวบรวมเรื่องราวทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรภายในหน่วยงานของตนเองด้วยวิธีให้กรอบแบบฟอร์มแทนที่จะต้องเขียนชี้แจงทั้งเรื่อง ซึ่งมักจะให้รายละเอียดไม่ตรงตามที่ต้องการ เช่น แบบฟอร์มขออนุญาตใช้วัสดุอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก
4.แบบฟอร์มสัญญา สัญญาในที่นี้หมายถึงเอกสารที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย เช่น สัญญาจะซื้อจะขายสินค้า สัญญาเช่าบ้าน

     จดหมายกิจธุระ เป็นจดหมายที่บุคคลติดต่อกับบุคคล ด้วยเรื่องทั่วๆ ไป เช่น การติดต่อสอบถาม
     จดหมายเปิดผนึก เป็นจดหมายประเภทกิจธุะเขียนเผยแพร่ต่อสาธารณะชน สื่อมวลชน ซึ่งส่วนมากได้แก่ หนังสือพิมพ์หรือวิทยุกระจายเสียง เผยแพร่ผ่านอินเตอร์เน็ต เพื่อลงหรือประกาศข้อความในจดหมายให้ประชาชนทั่วไปทราบ
      จดหมายราชการ หรือ หนังสือราชการ เป็นจดหมายที่ติดต่อสื่อสารระหว่างส่วนราชการหนึ่งกับอีกส่สนราชการหนึ่ง หรือติดต่อสื่อสารกันในระหว่าง กระทรวง ทบวง กรม กอง เดียวกัน รวมทั้งติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานเอกชนต่างๆ ด้วยจดหมาย ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารเป็นภาษาระดับทางการ

       การเขียนประกาศ   เป็นการสื่อสารที่ใช้เผยแพร่ได้อย่างกว้างขวาง คือ ให้บุคคลทุกระดับในหน่วยงานหรือบุคคลภายนอกได้อ่าน
       ประกาศทางราชการ   มักจะเป็นข้อความที่ค่อนข้างยาว ละเอียด และเกี่ยวเนื่องกับตัวยทบกฎหมาย โดยมีจุดประสงค์จะประกาศแจ้งให้บุคคลทั่วไปได้ทราบ และหวังผลในการปฏิบัติ ภาษาค่อนข้างเป็นทางการ รัดกุม มีลักษณะคล้ายหนังสือราชการทั่วๆไป

        การเขียนจดหมายธุระกิจมี 4 ประเภท
1.จดหมายส่วนตัว  :  จดหมายถึงเพื่อน ญาติพี่น้อง
2.จดหมายกิจธุระ   :  จดหมายลาป่วย ลากิจ
3.จดหมายธุระกิจ   :  จดหมายติดต่อเพื่อประโยขน์ทางธุระกิจ
4.หนังสือราชการ   :  เอกสารที่ใช้ในการติดต่อกับราชการ
       การเขียนจดหมายธุรกิจ  ประเภทของจดหมายธุรกิจ
1.จดหมายขอเปิดเครดิต หรือขอเปิดบัญชีเงินเชื่อ
2.จดหมายเสนอขายสินค้าหรือบริการ
3.จดหมายสอบถามและตอบสอบถาม
4.จดหมายสั่งซื้อสินค้าและตอบรับการสั่งซื้อ
5.จดหมายต่อว่าและปรับความเข้าใจ
6.จดหมายเตือนหนี้และทวงหนี้
7.จดหมายไมตรีจิต

        รูปแบบของจดหมายธุระกิจ
1.จดหมายธุรกิจแบบราชการ   ใช้รูปแบบเหมือนหนังสือราชการภายนอกแต่ดัดแปลงราย                ละเอียดเล็กให้เหมาะสมแก่การปฏิบัติ                             
2.จดหมายธุรกิจแบบไทย  ใช้รูปแบบที่ดัดแปลงหรือผสมผสาน จากหนังสือราชการภายนอกและจดหมายธุรกิจแบบสากล                                                    
3.จดหมายธุรกิจแบบสากล   ใช้รูปแบบของการเขียนจดหมายธุรกิจ ของต่างประเทศที่นิยมใช้กันเป็นสากล ได้แก่                                              
         - แบบบล็อบ (Full Block Style)
         - แบบเซมิบล็อก (Semi Block Style)

                2.การเขียนจดหมายธุรกิจ

   จดหมายธุรกิจแบบราชการ ใช้รูปแบบเหมือนหนัวสือราชการภายนอกแต่ดัดแปลงรายละเอียดเล็กน้อยให้เหมาะสมแก่การปฏิบัติ
   การเขียนหัวข้อต่างๆ ในจดหมายธุรกิจ
- หัวจดหมาย : ชื่อและที่อยู่ของบริษัท ห้างร้าน มักนิยมพิมพ์เป็นหัวข้อกระดาษจดหมายสำเร็จรูป
- วัน เดือน ปี : มักระบุเพียงเลขวันที่ ชื่อเดือน ปีพ.ศ.
- เรื่อง : เขียนสั้นๆ กระทัดรัดได้ใจความ
- คำขึ้นต้น : มักใช้คำว่า "เรียน"
- ข้อความ : มักเขียน 2-3 ย่อหน้า ย่อหน้าแรกจะกล่าวเหตุที่มีจดหมาย ย่อหน้าต่อมาจะแจ้งความประสงค์
- คำลงท้าย : มักใช้คำว่า "ขอแสดงความนับถือ"
- ลายเซ็นต์หรือลายมือชื่อของผู้ลงนามในจดหมาย
- ชื่อเต็มของผู้ลงนามในจดหมายโดยระบุอยู่ในวงเล็บ

ความรู้ใหม่

     - ขอแสดงความเคารพ ใช้กับคนที่เราสนิท 
     - ขอแสดงความนับถือ ใช้กับบุคคลทั่วไป     - ขอแสดงความเคารพอย่างสูง ใช้กับคนที่เราสนิทที่อาวุโสกว่าเรา     - องค์การ ใหญ่กว่า องค์กร     - ไอโฟน ๕ สามารถเขียนเลขไทยได้ แต่ 3G ไม่สามารถเขียนเลขไทยได้ ต้องเป็นเลขอารบิกเท่านั้น เพราะเป็นศัพท์เฉพา

     - การลงชื่อท้ายจดหมาย หากมีตำแหน่งสองตำแหน่งควรที่จะใส่ตำแหน่งเดียว
     - สำนักงานนายกรัฐมนตรี  เป็นตัวกำหนดสารบัญ

ข้อเสนอแนะ

อาจารย์ให้ความรู้ครบถ้วนดีมาก ไม่งง และเข้าใจง่ายค่ะ

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

ขอให้ประเทศไทยสงบสุข


ขอให้ประเทศไทยสงบสุข
                ปัจจุบันนี้ประเทศไทยของเรามีความวุ่นวายมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจหรือสังคม ก็ล้วนแต่ทำให้ประเทศไทยไม่สงบสุขเหมือนแต่ก่อน แล้วยิ่งตอนนี้คนไทยไม่รักกัน ทะเลาะกัน แล้วก็ไม่ยอมหันหน้ามาช่วยกันแก้ปัญหา แล้วเมื่อไหร่ประเทศไทยของเราจะกลับมาสงบสุขหละ ??
                ปัญหาที่ใหญ่ของประเทศไทยในตอนนี้คือ การไม่เข้าใจกันเพราะแต่ละคนก็มีความคิดที่ต่างกันแต่ก็ไม่ยอมหันหน้ามาคุยกัน หรือลดทิฐิของตนเองลงบ้าง เพื่อประเทศไทยของเราทุกคนจะได้มีความสงบสุข อย่าลืมสิว่าประเทศไทยเป็นของทุกคนไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง อย่าเห็นแก่ตัว แต่อยากให้เห็นแก่ส่วนรวมให้มาก อย่าบอกว่าคุณทำเพื่อประเทศทั้งๆที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำมันคือผลประโยชน์ของคุณทั้งนั้น บอกว่าจะนำประเทศไปในทางที่ดี จะช่วยกันพัฒนาประเทศ แต่ตอนนี้มันเหมือนทำให้เห็นว่าประเทศของเรายังด้อยการพัฒนามาก เพราะยังมีการไม่รู้จักพอของพวกคุณ ดิฉันก็เป็นคนไทยคนหนึ่งที่รักประเทศไทยมากเช่นกัน ไม่อยากให้ประเทศไทยต้องมาทะลาะ หรือขัดแย้งกันเอง ตรงกันข้ามฉันอยากเห็นคนไทยรักกัน อยากจะเตือนใจให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทยนี้ว่า เราอย่าลืมว่าเรายังมีพ่อหลวงของเรา ซึ่งท่านเป็นเหมือนพ่อของแผ่นดินไทย เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างแผ่นดินไทยให้เราลูกหลานทุกคนได้อาศัยในแผ่นดินไทยผืนนี้กันอย่างมีความสุข แต่วันนี้คนไทยกลับไม่รักกัน กลับมาทะเลาะกันเองเพียงแค่เพียงประโยชน์ส่วนตัว ลองคิดดูเองนะค่ะว่าต่อไป ประเทศไทยจะเป็นยังไง ถ้าคุณยังจะทะเลาะกันอยู่แบบนี้ แล้วพ่อหลวงของคนไทยทุกคนจะเสียใจขนาดไหน ปัญหาของประเทศไทยในตอนนี้ไม่ใช่แค่ทำให้คนไทยแตกแยกกันอย่างเดียวแต่มันส่งผลกระทบในอีกหลายด้าน เช่น ด้านเศรษฐกิจ เพราะตอนนี้หลายประเทศเริ่มขาดความเชื่อมั่นในประเทศไทย มีทั้งการสั่งห้ามเข้าประเทศไทย หรืออาจจะเป็นทางด้านการท่องเที่ยวเริ่มไม่คึกครื่นเหมือนแต่ก่อน ทำให้ประชาชนบางส่วนขาดรายได้ ทำให้ประเทศขาดความเชื่อมั่น แล้วแต่ไปก็คงไม่มีใครอยากจะเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยแล้ว
                อยากจะให้ทุกคนทุกฝ่ายหันหน้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหาในสังคมไทยตอนนี้ เพราะการพูดคุยกันสามารถทำให้เข้าใจกันมากขึ้น และอยากให้เห็นประเทศชาติเป็นหลัก เพราะชาติไทยให้ชีวิตแก่คนไทยทุกคนแต่ทำไมคนไทยทุกคนถึงทำลายประเทศไทย ไม่รักประเทศไทย แล้วก็ไม่รักความสงบ

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่ 6

ความรู้ที่ได้รับ 

   

     ความงามทางภาษา
             "ความสละสลวยไพเราะของภาษาอันเนื่องมาจากการใช้ศิลปะกาประพันธ์และโวหารภาพพจน์ที่เหมาะสม"


โวหาร คือ กลวิธีในการใช้ภาษาด้วยการเลือกสรรถ้อยคำมาเรียบเรียงในการเขียนเรื่องราวต่างๆ หรือพูด         
                 ให้มีความหมายสละสลวย เหมาะสม ชัดเจน เพื่อให้บรรลุตามจุดประสงค์

ภาพพจน์ คือ คำที่ก่อให้เกิดเป็นภาพ (ใช้กับการพูดและการเขียนเท่านั้น)

ภาพลักษณ์ คือ ลักษณะที่มองเห็นเป็นภาพ

      ประเภทของโวหาร

1. บรรยายโวหาร คือ การแจกแจงเรื่องราวอย่างละเอียด แจ่มแจ้ง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ
2. พรรณาโวหาร คือ การบรรยายเรื่องราวอย่างละเอียด ประณีต โดยแทรกอารมณ์โน้มน้าวให้ผู้อ่านเกิด  
    อารมณ์และภาพพจน์คล้อยตาม
3. เทศนาโวหาร คือ กระบวนการเขียนแบบแนะนำสั่งสอนโน้มน้าวให้เห็นและปฏิบัติตาม
4. อุปมาโวหาร คือ กระบวนการเขียนเปรียบเทียบให้เห็นภาพ
5. สาธกโวหาร คือ กระบวนการเขียนที่ยกตัวอย่างหรือเรื่องราวประกอบเนื้อเรื่อง

-อุปมา คือการเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่ง โดยใช้คำเชื่อมที่มีความหมาย
-อุปลักษณ์ คือการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งด้วยการกล่าวถึงอีกสิ่งหนึ่งโดยไม่มีคำเชื่อม
-อธิพจน์ คือ การกล่าวเกินจริง
-อวพจน์ คือ การกล่าวน้อยกว่าความเป็นจริง
-สัญลักษณ์ คือ การเรียกอีกสิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่ง
-นามนัย คล้ายกับสัญญาลักษณ์ แต่จะดึกเอาลักษณะบางส่วนมากล่าวให้หมายถึงส่วนทั้งหมด
-สัทพจน์ คือ คำเลียนเสียงธรรมชาติ
-บุคลาธิษฐาน/บุคคลวัต คือ ทำสิ่งที่ไม่มีชีวิตให้เหมือนสิ่งมีชีวิต
-ปฏิพจน์/ปฏิภาคพจน์ คือ การใช้คำที่มีความหมายขัดแย้งกันมาใช้คู่กัน


ความรู้ใหม่

-ได้รู้ความแตกต่างระหว่างภาพภจน์และภาพลักษณ์
-ได้รู้ประเภทของโวหารแต่ละประเภท


ข้อเสนอแนะ

ชอบมีการเรียนการสอนแบบนี้มาก มีทั้งอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ ทำให้เข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่ 5

สิ่งที่ได้เรียนรู้

     -อัตชีวประวัติ คือ การเขียนเล่าประวัติของตนเอง

     -ชีวประวัติ คือ การเขียนเล่าประวัติของผู้อื่น

     -การเขียนเรียงความมี 3 ย่อหน้า คือ  1. คำนำ  2. เนื้อเรื่อง  3. สรุป
              การเขียนเรียงความควรมีลักษณะดังนี้
              1.เอกภาพ คือ ในหนึ่งย่อหน้าควรมีใจความสำคัญแค่ 1 เรื่องเท่านั้น
              2.สัมพันธภาพ คือ การเชื่อมโยงระหว่างย่อหน้า
              3.สารัตถภาพ คือ เน้นความเป็นสาระ

     -การเขียนคำขวัญ เป็นการเขียนที่ต้องโน้มน้าวจิตใจ

     -การกล่าวรายงาน ควรพูดก่อนการกล่าวเปิดงาน

ความรู้ใหม่

     -การปิดโครงการ ผู้จัดโครงการสามารถกล่าวปิดโครงการนั้นๆได้

     -คำว่า "กราบเรียน" ให้ได้กับบุคคลดังต่อไปนี้เท่านั้น
              1.นายกรัฐมนตรี
              2.ประธาน ส.ส.
              3.ประธาน ส.ว.
              4.ประธานศาลฎีกา
              5.ประธานศาลรัฐธรรมนูญ

ข้อเสนอแนะ

      อยากให้มีการเรียนการสอนแบบนี้บ่อยๆ


 
           

วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556


อัตชีวประวัติของข้าพเจ้า
                ข้าพเจ้าเกิดในวันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ในครอบครัวเล็กๆที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ข้าพเจ้าเป็นบุตรคนแรกของพ่อและแม่ แล้วหลังจากนั้นแม่ก็มีน้องเพิ่มมาอีก 3 คน เป็นผู้หญิง 2 คนและผู้ชายอีก 1 คน ครอบครัวข้าพเจ้ารักและเคารพซึ่งกันและกันเสมอ
                ตอนนั้นข้าพเจ้ากำลังจะจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ข้าพเจ้าจึงได้ปรึษากับครอบครัวเรื่องเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าบอกกับครอบครัวว่า ข้าพเจ้าอยากเป็นครูและมีความใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก ครอบครัวข้าพเจ้ายินดีและสนับสนุนให้เรียนครู เพราะเชื่อว่าอาชีพครูมีความมั่นคงและเป็นการทำประโยชน์เพื่อสังคมอีกอย่างหนึ่งด้วย หลังจากข้าพเจ้าได้เล่าเรียนหนังสือจนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6  ข้าพเจ้าจึงสอบเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย และข้าพเจ้าสอบติดมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (ศูนย์ในมหาวิทยาลัย) ข้าพเจ้าสอบได้คณะครุศาสตร์ หลักสูตรประถมศึกษา ตามที่ต้องการ จากนั้นข้าพเจ้าต้องย้ายเข้ามาพักอาศัยในกรุงเทพเพื่อที่จะทำตามความฝันของตนเอง แต่หลังจากเข้ามาอยู่ในกรุงเทพได้ไม่นานก็ทำให้ข้าพเจ้าอยากกลับบ้าน คิดถึงพ่อแม่และน้องทุกคน คิดถึงกับข้าวฝีมือแม่ ตั้งแต่เล็กจนโตข้าพเจ้าไม่เคยจากบ้านไปไกลและนานขนาดนี้มาก่อน แถมยังจะต้องมาใช้ชีวิตคนเดียวในเมืองหลวง ข้าพเจ้ารู้สึกทรมานในการปรับตัวให้ชินกับการที่ต้องอยู่ในเมืองหลวงนี้ ถึงแม้มันจะทรมานหรือยากขนาดไหน ข้าพเจ้าก็จะต้องทำให้ได้เพราะข้าพเจ้าได้เลือกที่จะทำแล้วและจะต้องทำให้ดีที่สุด เพื่ออนาคตจะได้เป็นครูอย่างที่ใจต้องการ ข้าพเจ้าก็ได้ตั้งใจเรียนตั้งแต่เข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัย ได้มีความรู้ความสามารถและเข้าใจในคำว่าวิชาชีพครูมากขึ้นเรื่อยๆ ผลจากการตั้งใจเรียนของข้าพเจ้าทำให้เกรดในเทอมที่ 1 และ 2 ของ ปีที่ 1 ออกมาเป็นที่น่าพอใจทั้งในตัวข้าพเจ้าและครอบครัว แม่บอกกับข้าพเจ้าเสมอว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั้น ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็ยังคงคิดถึงบ้านทุกวันแต่ก็ไม่เคยลืมความฝันของตัวเองจะทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจในตัวลูกคนนี้ให้ได้
                ชีวิตในอนาคตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยากครูที่ดี อยากนำความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่เคยได้เรียนรู้มาทั้งหมด นำมาปรับใช้ในการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนที่มาเรียนก็ล้วนอยากมีความรู้กันทั้งนั้น เพียงแต่จะได้รับกลับไปมากหรือน้อยก็ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของเด็กแต่ละคน แต่ข้าพเจ้าก็อยากสอนใจเด็กทุกคนเป็นคนดีและใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขกันทุกคน